วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

10.หญ้าคา
Image result for หญ้าคา

    เราสามารถนำหญ้าคามาใช้สำหรับ ต้านอาการอักเสบ ต้านเลือดเหนียว ขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย  ช่วยขับปัสาวะ และต้านเชื้อโรคจุลชีพ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ ช่วยรักษาการอักเสบที่ทางเดินปัสสาวะ บำรุงไต แก้โรคดีซ่าน แก้อ่อนเพลียช่วยเจริญอาหาร  บำรุงเลือด อีกด้วยค่ะ

หญ้าคา ชื่อสามัญ Alang-alang, Blady grass (หญ้าใบมีด), Cogongrass, Japanese bloodgrass, Kunai grass, Lalang, Thatch grass
หญ้าคา ชื่อวิทยาศาสตร์ Imperata cylindrica (L.) Raeusch. จัดอยู่ในวงศ์หญ้า(POACEAE      หรือGRAMINEAE) 
สมุนไพรหญ้าคา  มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หญ้าหลวง หญ้าคา (ทั่วไป), สาแล (มลายู-ยะลา-ตานี), กะหี่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), บร่อง (ปะหล่อง), ทรูล (ลั้วะ), ลาลาง ลาแล (มะลายู), แปะเม่ากึง เตี่ยมเซากึง (จีน-แต้จิ๋ว), คา แฝกคา ลาแล เก้อฮี เป็นต้น
หมายเหตุ หญ้าคาเป็นพืชคนละชนิดกันกับหญ้าแฝก (Chrysopogon zizanioides (L.) Roberty)

ลักษณะของหญ้าคา

          จัดเป็นพืชจำพวกหญ้า มีลำต้นอยู่ใต้ดินเป็นเส้นกลมสีขาวทอดยาว มีข้อชัดเจน ผิวเรียบ หรืออาจมีขนอยู่บ้างเล็กน้อย สามารถแตกกิ่งก้านสาขา เลื้อยแผ่และงอกไปเป็นกอใหม่ ๆ ได้มากมายหลายกอ โดยหญ้าคาจัดเป็นวัชพืชที่ชอบแสงแดดและมีความทนทานสูงมาก เผากำจัดหรือทำลายได้ยาก ยิ่งเผาทำลายก็เหมือนไปช่วยกระตุ้นให้มันงอกมากขึ้น ทำให้ออกดอกแพร่พันธุ์มากยิ่งขึ้นไปอีก จึงกลายเป็นวัชพืชที่ลุกลามไปตามท้องไร่หรือพื้นที่ต่าง ๆ และกำจัดได้ยากชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นวัชพืชที่แก่งแย่งธาตุอาหารและน้ำกับพืชที่ปลูก และยังปลดปล่อยสารธรรมชาติบางชนิดที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชชนิดอื่น ๆ ซึ่งสามารถพบได้ตามท้องทุ่งทั่วไป ตามพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ตามหุบเขา และตามริมทางทั่วไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพืชชนิดนี้จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด แต่ก็ยังสามารถขยายพันธุ์ด้วยลำต้นใต้ดินได้ด้วยเช่นกัน 



การนำหญ้าคามาใช้ประโยชน์ในแพทย์แผนโบราณ

นำหญ้าคาแห้ง 1 กำมือ มาบดเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำไปต้มน้ำ และกรองเอาแต่น้ำ นำมาดื่มก่อนอาหาร 1 ถ้วยน้ำชา จะช่วยขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ ช่วยรักษาการอักเสบที่ทางเดินปัสสาวะ บำรุงไต แก้โรคดีซ่านแก้อ่อนเพลีย ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ ช่วยรักษาการอักเสบที่ทางเดินปัสสาวะ บำรุงไต แก้โรคดีซ่าน แก้อ่อนเพลีย ช่วยเจริญอาหาร

สรรพคุณของหญ้าคา



    Image result for หญ้าคา
  1. ในประเทศจีนใช้หญ้าคาเป็นยาบำรุงกำลังหลังจากการฟื้นไข้ และยังใช้เป็นยาห้ามเลือดและลดอาการไข้อีกด้วย (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  2. ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง (ราก)
  3. ผลใช้กินเป็นยาสงบประสาท (ผล)
  4. รากใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยารักษาโรคตานขโมย (ราก)
  5. รากช่วยแก้ไข้ แก้อาการไอ (ราก) ส่วนดอกช่วยแก้อาการไอ (ดอก)
  6. ชาวซูลูใช้หญ้าคาเพื่อช่วยแก้อาการสะอึก (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  7. ช่วยแก้โรคมะเร็งคอ (ต้น)
  8. ช่วยแก้หอบ ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1 กำมือและเปลือกของต้นหม่อนอย่างละเท่ากัน ใส่ในน้ำ 2 ชามแล้วต้มจนเหลือ 1 ชาม แล้วเอาน้ำที่ได้มากิน (ราก)9.
  9. รากหญ้าคาช่วยแก้เลือดกำเดาไหล เลือดกำเดาออกง่ายหรือออกมาไม่ค่อยหยุด ด้วยการใช้ช่อดอกแห้งประมาณ 15 กรัม และจมูกหมู 1 อัน นำมาต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้รับประทานหลังอาหารหลายครั้ง อาจทำให้หายขาดได้ หรือจะใช้ขน (ดอกแก่) นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้รากแห้งบดเป็นผงประมาณ 2.6 กรัม นำมาผสมกับน้ำซาวข้าวใช้กิน หรือจะใช้รากสดประมาณ 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มในขณะที่เลือดกำเดาไหล หรือจะใช้น้ำคั้นสดดื่มกินประมาณ 1 ถ้วยชา (15 มิลลิกรัม) ก็ได้ และถ้าจะใช้เป็นยาห้ามเลือดกำเดาก็ให้ใช้ช่อดอกหรือขนนำมาตำแล้วอุดที่รูจมูก (ดอก, ขน (ดอกแก่), ราก)
  10. ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นเลือด (ช่อดอก, ราก)11.
  11. ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 30 กรัม นำมาต้มเอาแต่น้ำดื่มเป็นประจำ (ราก)
  12. ช่วยแก้ปัสสาวะขัด ด้วยการใช้รากสดประมาณ 500 กรัม นำมาลอกเปลือกที่อยู่ระหว่างข้อออก แล้วหั่นเป็นฝอยใส่น้ำ 4 ถ้วยใหญ่ และต้มให้เดือดประมาณ 10 นาทีจนให้รากจมน้ำหมด หลังจากนั้นให้แยกเอากากออก ใช้รินกินขณะยังอุ่น ๆ ประมาณครั้งละครึ่งถ้วย วันละ 5-6 ครั้ง และกลางคืนอีก 2-3 ครั้ง กินต่อเนื่องกันจนครบ 12 ชั่วโมง แล้วปัสสาวะจะถูกขับออกมามากขึ้น (ราก)
  13. ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นเลือด ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 30 กรัมแล้วนำมาต้มกับน้ำกิน หรือจะผสมกับรากบัว (ประมาณ 15 กรัม) ร่วมด้วย แล้วนำมาต้มกับน้ำกินก็ได้เช่นกัน (ราก)
  14.  ช่วยแก้พิษอักเสบในกระเพาะอาหาร (ราก)
  15. ช่วยแก้โรคมะเร็งในลำไส้ (ดอก)
  16. ช่วยแก้บิด (น้ำต้มจากรากสด)
  17. ช่วยแก้อุจจาระเป็นเลือด (ดอก ขน (ดอกแก่)
  18. ช่วยแก้ริดสีดวงทวารต่าง ๆ (ดอก) ส่วนในประเทศกัมพูชา ใช้หญ้าคาเป็นยาสำหรับรมแก้ริดสีดวงทวาร (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  19. รากและเหง้าหญ้าคาใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด (ราก)
  20.  ช่วยแก้อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แก้พิษอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะแดง (ราก ดอก)
  21. ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด ด้วยการใช้รากหญ้าคาประมาณ 1 กำมือ ใส่ในน้ำ 1 ถ้วยใหญ่ แล้วต้มจนเหลือ 1 ถ้วยชา (ประมาณ 15 มิลลิเมตร) ใช้รินกินขณะยังอุ่น ๆ หรือจะใช้รากแห้ง เมล็ดผักกาดน้ำอย่างละ 30 กรัม และน้ำตาลทราย 15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินก็ได้ แต่หากนำมาใช้กับสัตว์ เช่น วัว ม้า ก็ให้ใช้รากสดประมาณ 120 กรัม ผสมคนล้างน้ำด่าง แล้วล้างให้หมดด่าง นำมาตากแห้งเผาเป็นถ่านให้ได้ประมาณ 30 กรัม และใช้ใบหญ้าขุยไม้ไผ่สดประมาณ 120 กรัม นำมาต้มให้สัตว์เลี้ยงกิน (ราก, ขน (ดอกแก่)
  22. ช่วยแก้อาการปัสสาวะขุ่นเหมือนน้ำนม ด้วยการใช้รากสดประมาณ 250 กรัม ใส่ในน้ำ 2,000 มิลลิเมตร แล้วต้มจนเหลือ 1,200 มิลลิเมตร และใส่น้ำตาลพอสมควร ใช้แบ่งกินประมาณ 3 ครั้งให้หมดภายใน 1 วัน หรือจะใช้กินแทนชาติดต่อกันประมาณ 5-15 วันก็ได้ โดยนับเป็น 1 รอบของการรักษา (ราก)
  23.  ช่วยรักษาปัสสาวะเป็นหนอง ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 15 กรัม ใส่ในน้ำ 250 มิลลิลิตร แล้วต้มจนเหลือ 50 มิลลิลิตร ใช้รินกินขณะยังอุ่นหรือเย็นก็ได้ วันละ 3 ครั้ง (ราก)
  24. ในฟิลิปปินส์ใช้น้ำต้มจากรากสด ใช้รักษาโรคหนองใน (ราก)
  25. ช่วยขับระดูขาวของสตรี (ราก)
  26. ช่วยแก้ประจำเดือนของสตรีมามากเกินไป (ราก)
  27. ช่วยบำรุงไต แก้ไตอักเสบ ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 30 กรัม ผสมกับเปลือกลูกน้ำเต้า 15 กรัม ดอกเจ๊กกี่อึ้ง 30 กรัม และเหล้าขาวอีก 3 กรัม นำมาต้มเป็นยา ใช้แบ่งกิน 2 ครั้ง วันละ 1 ชุด หรือจะใช้รากสดประมาณ 60-120 กรัม นำมาต้มเป็นยา ใช้แบ่งกิน 2-3 ครั้ง ให้หมดภายใน 1 วัน แต่ถ้าหากนำมาใช้กับสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ เช่น ม้า วัว ก็ให้ใช้รากสด เปลือกแตงโมสดอย่างละ 250-500 กรัม นำมาต้มกับน้ำให้สัตว์เลี้ยงกิน (ราก)
  28. ช่วยแก้อาการตัวบวมน้ำ ด้วยการใช้รากสดประมาณ 500 กรัม นำมาลอกเปลือกที่อยู่ระหว่างข้อออก แล้วหั่นเป็นฝอยใส่น้ำ 4 ถ้วยใหญ่ และต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที จนให้รากจมน้ำหมด หลังจากนั้นให้แยกเอากากออก ใช้รินกินขณะยังอุ่น ๆ ประมาณครั้งละครึ่งถ้วย วันละ 5-6 ครั้ง และกลางคืนอีก 2-3 ครั้ง กินต่อเนื่องกันจนครบ 12 ชั่วโมง แต่ถ้าหากนำมาใช้สัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ เช่น ม้า วัว ก็ให้ใช้รากสด เปลือกแตงโมสด อย่างละประมาณ 250-500 กรัม นำมาต้มกับน้ำให้สัตว์เลี้ยงกิน (ราก)
  29. หญ้าคาช่วยแก้ดีซ่าน ตัวเหลืองจากพิษสุรา ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1 กำมือ นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาต้มกับเนื้อหมู 500 กรัม และใช้กินแก้อาการ (ราก)
  30. ช่วยแก้อาการตาเหลือง ตัวเหลือง มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ด้วยการใช้รากนำมาต้มกับน้ำกิน (ราก)
  31. ใช้เป็นยาห้ามเลือด บาดแผลจากของมีคม (ช่อดอก, ผล, ราก)
  32.  ขน (ดอกแก่) ใช้สดเป็นยาแก้แผลบวมอักเสบ แก้ฝีมีหนอง (ดอก, ขน (ดอกแก่)
  33.  ช่วยแก้ฝีประคำร้อย (ต้น)
  34.  ช่วยแก้ออกหัด ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 30 กรัม ต้มเอาแต่น้ำดื่มบ่อย ๆ (ราก)
  35.  ใบนำมาต้มกับน้ำอาบ ช่วยแก้ลมพิษและผดผื่นคัน (ใบ)
  36.  ใช้แก้พิษจากต้นลำโพง ด้วยการใช้รากสดประมาณ 30 กรัมและต้นอ้อยอีก 500 กรัม นำมาตำและคั้นเอาแต่น้ำมาผสมกับน้ำมะพร้าว 1 ลูก แล้วนำมาต้มกิน (ราก)
  37. ช่วยแก้ตรากตรำทำงานหนัก มีอาการช้ำใน ด้วยการใช้รากสดและขิงสดอย่างละ 60 กรัม ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและน้ำ 2 ถ้วย นำมาต้มให้เหลือ 1 ถ้วย แล้วใช้กินวันละครั้ง (ราก)
  38. ช่วยแก้อาการปวด (ช่อดอก) ในแอฟริกาใช้หญ้าคาเป็นยาแก้อาการปวดบวมในเด็ก (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  39. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยหลังการคลอดบุตรของสตรี ด้วยการใช้ใบนำมาต้มกับน้ำอาบ (ใบ)


โทษของหญ้าคา
  1. หน่อของหญ้าคาแหลมคมมาก ถ้าเดินเข้าไปโดยไม่ระมัดระวัง จะทิ่มแทงฝ่าเท้า ทำให้เกิดความเจ็บปวดได้
  2. สามารถขึ้นได้ตามพื้นที่รกกร้าง ไร่หรือท้องนา ทำให้ชาวไร่ชาวนาส่วนมากไม่ค่อยชอบ
  3. เมื่อนำไปมุงหลังคาบ้าน หรือกระท่อม ไม่ค่อยทนทาน และถ้าดูแลไม่ดี อาจจะเกิดอัคคีภัย ก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ทรัพย์สินได้ 



วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

9.เทียนบ้าน

Image result for เทียนบ้าน

เทียนบ้าน (Garden Balsam) 
เทียนบ้าน ชื่อวิทยาศาสตร์ Impatiens balsamina L.
สมุนไพรเทียนบ้าน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เทียนดอก เทียนสวน เทียนไทย เทียนขาว เทียน (ภาคกลาง), จึงกะฮวย จี๋กะเช่า เซียวก่ออั้ง ห่งเซียง (จีน), จือเจี่ยฮวา จี๋ซิ่งจื่อ เฟิ่งเซียนฮวา ฝู่เฟิ่งเซียนฮวาจื่อ เป็นต้นเป็นพืชสมุนไพรจำพวกต้น ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น เทียนไทย, เทียนสวน, เทียนดอก เป็นต้น ซึ่งต้นเทียนบ้านนั้นจัดอยู่ในพืชกลุ่มถอนพิษ เป็นไม้ที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศแอฟริกาและอินเดีย สามารขยายพันธุ์ได้โดยการนำเมล็ดหยอดลงไปในดินแล้วกลบดินไว้ให้เรียบ จากนั้นต้องหมั่นรดน้ำทุกๆ วันให้ชุ่ม และเมื่อมีต้นเริ่มงอกยาวออกมาประมาณหนึ่ง ก็ให้ทำการถอนต้นที่ไม่แข็งแรงออกไป โดยต่อ 1 หลุม ให้เหลือเพียง 1 – 2 ต้นเท่านั้น ซึ่งสามารถเพาะพันธุ์ได้ง่ายและเจริญเติบโตได้เร็ว โดยเฉพาะในดินร่วนซุยและแสงแดดรำไร

ประโยชน์และสรรพคุณของเทียนบ้าน
ใบ – ช่วยแก้อาการบวม แก้ปวดตามข้อต่างๆ รวมทั้งช่วยในการสลายลม ช่วยฟอกโลหิต ตลอดจนแก้อาการเจ็บปวดเนื่องจากการกระทบกระแทก แก้ฝีประคำร้อย แก้โรคงูสลัด แก้บิดมูลเลือด และแก้แผลที่มีหนองเรื้อรัง ให้รสเฝื่อน
ดอก – เป็นยาเย็น ใช้บำรุงร่างกาย ช่วยในการฟอกโลหิต ช่วยสลายลม รวมทั้งลดอาการบวมต่างๆ ช่วยแก้อาการปวดเอว แก้อาการปวดตามข้อต่างๆ ตลอดจนแก้ปวดท้องก่อนมีระดูหรือประจำเดือน และใช้ในการทาแผลที่เกิดจากน้ำร้อนลวก หรือแผลพุพอง ให้รสเฝื่อนเย็น
เมล็ด – ช่วยขับระดูหรือประจำเดือน ช่วยละลายกระดูก แก้ก้างติดคอ รวมทั้งช่วยกระจายเลือด ขับเสมหะที่ข้นๆ ตลอดจนขับลูกที่ตายในท้อง แก้พิษจากงู แก้แผลที่ติดเชื้ออักเสบแบบเรื้อรัง และช่วยรักษาแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้ตับแข็ง และแก้อาการบวม ให้รสขม
ลำต้น – ช่วยทำให้เส้นเอ็นคลายตัว ช่วยขับลม ทำให้เลือดเดินสะดวก รวมทั้งช่วยแก้อาการปวด แก้แผลเน่าเปื่อยหรือบวม เป็นพิษ แก้อาการเหน็บชา แก้โรคปวดตามข้อต่างๆ ช่วยทำให้อาเจียน และช่วยขับปัสสาวะ ให้รสเฝื่อน
ราก – ช่วยแก้อาการตกเลือด และแก้อาการตกขาวรวมทั้งช่วยฟอกเลือด ลดอาการบวม และแก้อาการบวมช้ำ แก้ปวดกระดูก ให้รสเฝื่อนเมา
ดอกและใบ – นำมาใช้สำหรับพอกกันเล็บถอด ให้รสเฝื่อนเย็น
Image result for เทียนบ้าน
    สำหรับต้นเทียนบ้านนั้นนับเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรพคุณเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นห้ามรับประทานอย่างเด็ดขาด รวมทั้งตัวเมล็ดนั้นมีฤทธิ์สามารถละลายฟันและกระดูกของเราได้ และหากรับประทานติดต่อกันในปริมาณมากๆ อาจส่งผลเสียต่อกระเพาะและม้ามของเราได้

7.กระเทียม
Image result for กระเทียม


  ประโยชน์ทางยา…ของกระเทียม

    1.การใช้รักษาอาการท้องอืด แน่นจุกเสียด

  • นำกระเทียม 5-7 กลีบ บดให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เกลือและน้ำตาลนิดหน่อย ผสมให้เข้ากัน กรองเอาน้ำดื่ม
  • นำกระเทียมปอกเปลือก นำเฉพาะเนื้อใน 5 กลีบ ซอยให้ละเอียด กินกับน้ำหลังอาหารทุกมื้อ แก้ปวดท้องอาหารไม่ย่อย เพราะมีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร
   2.การใช้รักษากลากเกลื้อน
  • นำกระเทียมมาขูดให้เป็นชิ้นเล็กๆ หรือบดให้แหลก พอกที่ผิวหนัง แล้วปิดด้วยผ้าพันแผลไว้นานอย่างน้อย 20 นาที จึงแก้ออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ทำซ้ำเช้าเย็นเป็นประจำทุกวัน
  • นำใบมีดมาขูดผิวหนังส่วนที่เป็นกลากเกลื้อนให้พอเลือดซึม แล้วใช้กระเทียมทาลงไป ทำเช่นนี้ทุกวัน 10 วันก็จะหาย สารอัลลิซินเป็นสารออกฤทธิ์ทำลายเชื้อกลากเกลื้อน สารนี้สลายตัวง่ายเมื่อถูกความร้อน ความชื้น การใช้กระเทียมเก่าที่เก็บไว้นานจะมีสารอัลลิซินเหลืออยู่น้อย
   3.การใช้ลดความดันโลหิต
  • กินกระเทียมสดครั้งละ 5 กรัม วันละ 3 เวลาพร้อมหรือหลังอาหาร ช่วยลดไขมันในเลือดและส่งผลช่วยลดความดันโลหิต จากการทดลองในคนโดยให้กินกระเทียมในปริมาณดังกล่าว นาน 1 เดือน พบว่าระดับคลอเลสเตอรอลลดลง
  • หากไม่ชอบกินสดๆ ให้กินกระเทียมผงอัดเม็ดหรือน้ำมันกระเทียมในแคปซูลครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
การใช้ลดน้ำตาลในเลือดกินกระเทียมสดครั้งละ 5 กรัม วันละ 3 เวลาพร้อมหรือหลังอาหาร โดยมีสารอัลลิซิน (allicin) ที่ไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดลดลง
  • หากไม่ชอบกระเทียมสด ให้กินกระเทียมผงอัดเม็ดหรือน้ำมันกระเทียมในแคปซูล ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร กระเทียมผงอัดเม็ดหรือน้ำมันกระเทียมในแคปซูลจะไปแตกตัวในลำไส้ ทำให้รอดพ้นจากการถูกทำลายโดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร
  • สารเคมี: หัวกระเทียมพบอัลลิอิน อัลลิซิน อัลลิเนส สคอร์ดินีนเอ สคอร์ดินีนบี
    ข้อควรระวัง: กระเทียมที่เก็บไว้นานทำให้สารสำคัญคืออัลลิซินและเอนไซม์อัลลิเนสสลายไป ทำให้คุณสมบัติการฆ่าเชื้อกลาก ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ลดน้ำตาลในเลือดลดลง

      คนที่เป็นโรคกระเพาะ หากกินกระเทียมสดตอนท้องว่าง อาจเกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร เพราะสารอัลลิซินจะไปกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยอาหาร ออกมาทำให้มีสภาพเป็นกรดมากขึ้น และหากกินแล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้กินกระเทียมน้อยลง



วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

6.ว่านหางจระเข้

Image result for ว่านหางจระเข้

   สมุนไพรไทย ๆ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหางแหลม ๆ ของจระเข้ จนได้ชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงลักษณะได้ดีว่า ว่านห่างจระเข้ คืออีกหนึ่งพรรณไม้ไทยที่นิยมปลูกไว้ติดบ้าน นอกจากจะใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว สรรพคุณต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้ยังคุ้มค่าอีกด้วย ส่วนจะมีทีเด็ดขนาดไหนนั้น เราไปทำความรู้จักกับว่านหางจระเข้ให้มากขึ้นกันดีกว่า ..

          ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) คือ พืชชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทพืชล้มลุก สีเขียว มีลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบเดี่ยว ใบหนายาวและโคนใบใหญ่ ปลายแหลม ขอบใบมีหนามห่างกันเป็นระยะ เรียงเป็นชั้น ข้างในใบเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน มีเมือกเหนียว สามารถออกดอกสีแดงอมเหลืองที่ปลายยอดได้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา สามารถปลูกได้ง่ายในดินทราย หรือในกระถางก็ได้ เป็นพืชชอบน้ำ แต่ต้องมีทางระบายน้ำได้ดี ป้องกันไม่ให้อมน้ำมากเกินไปจนรากเน่า


 สรรพคุณว่านหางจระเข้


     ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้

ประโยชน์ภายนอก

          1. รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย

          2. ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือน้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป

          3. บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

          4. สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้

          5. รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้วนำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นที่ทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น

          6. รักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะลงบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อย ๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งลงจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ประคบด้วยว่านหางจระเข้เอาไว้จนกว่าแผลจะแห้งลงและอาการดีขึ้น

          7. แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

          8. บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซนติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง

ประโยชน์ภายใน
          
          1. บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
          
          2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซนติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

          3. แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้

          4. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้

          5. แก้และป้องกันอาการเมารถ-เมาเรือ ท่านที่มีปัญหาในการเดินทาง เกิดอาการเมารถ-เมาเรืออยู่เป็นประจำ ให้ลองรับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ หรือน้ำว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางจะช่วยบรรเทาให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลงได้ แต่หากเกิดอาการเมารถ-เมาเรือขึ้นแล้ว ลองทานน้ำว่านหางจระเข้เย็น ๆ ให้ชื่นใจ แล้วนั่งพักสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น


วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

8.มะขาม
Image result for มะขาม
      เป็นที่ทราบกันดีว่า “มะขาม” นั้นเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะนำมาใช้กินเป็นอาหาร หรือใช้ทาตัวเพื่อขัดผิวพรรณให้เนียนนุ่มได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย และยังมีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องของการดูแลสุขภาพให้หายจากโรคอีกด้วย

14 สรรพคุณของมะขาม ประโยชน์ในการรักษาโรค

1. มะขามทำให้ผิวพรรณทั้งผิวหน้าและผิวกายเปล่งปลั่ง สดใส เพราะวิตามินซีที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากมลพิษต่างๆ บำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและช่วยชะลอความแก่
2. มะขามมีสรรพคุณเป็นยาระบาย จึงเหมาะกับคนที่มักมีปัญหาท้องผูก โดยมะขามมีกรดอินทรีย์หลายชนิดซึ่งมีคุณสมบัติในการระบายและช่วยลดความร้อนในร่างกาย เพียงกินมะขามสุก 3-4 ฝัก ดื่มน้ำอุ่นตามเยอะๆ จะช่วยได้
3. มะขามมีประโยชน์ในด้านของความงาม ตามสรรพคุณโบราณมะขามจะถูกนำมาใช้ขัดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา ข้อพับ ซอกขาหนีบหรือรักแร้ ซึ่งจะช่วยให้รอยคล้ำลดลง ทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นได้ตลอดวัน แถมช่วยกำจัดแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี
4. มะขามใช้พอกหน้าก็ได้ ซึ่งมีสรรพคุณทำให้ผิวหน้าที่เคยหมองคล้ำดูขาวใสขึ้น กำจัดเซลล์เก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก ผิวพรรณสะอาด สดใส นุ่มนวล และกระชับขึ้นด้วย
5. มะขามมีฤทธิ์ช่วยลดคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ ลดความดันให้เป็นปกติ และลดระดับของน้ำตาลในเลือด
6. ประโยชน์ของมะขามใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ และยังช่วยขับพยาธิที่ได้ผลดี
7. สรรพคุณมะขามใช้เป็นผลไม้ลดน้ำหนักได้ ซึ่งมะขามได้รับการยืนยันทางวิชาการแล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะมะขามอุดมด้วยเส้นใยอาหารและสารเคมีสำคัญที่มีคุณสมบัติช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติแล้วยังช่วยดักจับไขมันจากอาหาร ยับยั้งการสร้างไขมันไม่ให้ไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
8. มะขามอุดมด้วยธาตุแคลเซียม หากกินเป็นประจำจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ก็มีสรรพคุณใช้รักษาอาการเหงือกบวม ฟันผุ และโรคเลือดออกตามไรฟัน
9. มะขามมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคหวัด คัดจมูก แก้ไอ ขับเสมหะ ละลายเสมหะ
10. มะขามเป็นแหล่งของธาตุเหล็ก ที่มีหน้าที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงเลือดและฟอกเลือดได้
11. ประโยชน์ของมะขามมีทั้งวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยบำรุงสายตา มองเห็นในตอนกลางคืนได้ชัด รวมทั้งบำรุงผิวพรรณและลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
12. สรรพคุณของมะขามมีธาตุฟอสฟอรัส ซึ่งมีความจำเป็นต่อกระบวนการทำงานภายในทุกส่วนของร่างกาย โดยประโยชน์สำคัญของฟอสฟอรัสคือ ช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นขึ้น
13. มะขามมีประโยชน์ในการลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้อาการตัวร้อนและเป็นไข้
14. มะขามมีฤทธิ์ในการสมานแผล รักษาแผลสด และสามารถช่วยถอนพิษได้


วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560


5.มะกรูด


Image result for มะกรูด


    มะกรูดเป็นสมุนไพรที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะนำมาใช้ในการทำอาหาร ช่วยบำรุงสุขภาพเสริมความงาม หรือแม้แต่นำมาปลูกเพื่อเป็นสิริมงคล นอกจากนี้มะกรูดยังมีประโยชน์และสรรพคุณดี ๆ อีกมากมายที่ไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักกับเจ้าพืชสมุนไพรผิวขุรขระชนิดนี้กันให้ดีขึ้นกว่าเดิมดีกว่าค่ะ 

สรรพคุณมะกรูด กับคุณประโยชน์ทางยาที่ไม่ควรมองข้าม

          มะกรูดเป็นพืชสมุนไพรโบราณที่มีคุณประโยชน์ทางยามากมาย โดยสามารถนำส่วนต่าง ๆ มาใช้รักษาอาการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย มะกรูดมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงมีส่วนช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายและต้านทานโรคหลายชนิดรวมทั้งมะเร็งบางชนิดด้วยนอกจากนี้มะกรูดยังมีฤทธิ์ในการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ อย่างเช่นเชื้ออีโคไล (E.coli) และซาลโมเนลลา (Salmonella) ได้ ช่วยบำรุงประจำเดือน ขับระดู และมักเป็นส่วนผสมสำคัญในยาสตรีต่าง ๆ อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้น ส่วนต่าง ๆ ของมะกรูดยังมีประโยชน์อีกมากมายไปดูกันเลยค่ะ

           รากมะกรูด

          - รากของมะกรูดมีรสจืดเย็น สามารถช่วยแก้อาการไข้ ถอนพิษสำแดง แก้ลมจุกเสียด กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน และช่วยอาการเสมหะเป็นพิษ


      ผิวมะกรูด



          - ผิวของมะกรูดสามารถช่วยแก้อาการนอนไม่หลับได้ โดยนำผิวของมะกรูดบดรวมกับรากชะเอม ไพล เฉียงพร้า ขมิ้นอ้อย แล้วนำมาต้มน้ำดื่ม
          - เป็นยาบำรุงหัวใจ โดนนำผิวมะกรูดฝานสดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมกับพิมเสนหรือการบูรชงในน้ำเดือดแล้วแช่ทิ้งไว้ จากนั้นนำมาดื่ม
          - ช่วยแก้อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ โดยนำเปลือกมะกรูดฝานบาง ๆ  ชงกับน้ำเดือดแล้วเติมการบูรเล็กน้อย นำมาดื่มเพื่อแก้อาการ
          - ช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการจุกเสียด ท้องอืด แน่นท้องได้
          - ช่วยขับสารพิษที่อยู่ในร่างกายให้ออกมาทางผิวหนังโดยการนำผิวมะกรูดมาใช้เป็นส่วนประกอบในการอบซาวน่าสมุนไพร 

           ใบมะกรูด

          - ช่วยแก้ไอ แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด
          - ช่วยแก้อาการช้ำใน
          - ใบมะกรูดอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งช่วยในการชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งและช่วยต่อต้านมะเร็งได้

           ผลมะกรูด 

          - ช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะ โดยการนำมะกรูดผ่าครึ่งและนำไปลนไฟให้นิ่ม แล้วค่อย ๆ บีบน้ำมะกรูดลงคอทีละนิดจะช่วยทำให้อาการบรรเทาลงได้
          - ช่วยฟอกโลหิต โดยนำผลมะกรูดสดมาผ่าเป็น 2 ซีกแล้วนำไปดองกับเกลือหรือน้ำผึ้งประมาณ 1 เดือน แล้วรินเอาแต่น้ำดื่ม 
          - ช่วยแก้อาการปวดท้อง หรือใช้เป็นยาแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน โดยการนำผลมะกรูดมาคว้านไส้กลางออก นำมหาหิงคุ์ใส่และปิดจุก แล้วนำไปเผาไฟจนดำเกรียมและบดจนเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งไว้รับประทานแก้อาการปวดได้
          - ช่วยขับระดู ขับลม โดยผลมะกรูดนำมาดองทำเป็นยาดองเปรี้ยวไว้รับประทาน
          - ช่วยแก้อาการน้ำลายเหนียว 
          - แก้เถาดานในท้อง 
          - แก้ระดูเสีย ขับระดู 
          - ช่วยขับลมในลำไส้

          นอกจากนี้น้ำจากผลมะกรูดยังสามารถใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย โดยใช้น้ำมะกรูดถูบาง ๆ บริเวณเหงือกหลังแปลงฟันเสร็จจะช่วยทำให้อาการเลือดออกตามไรฟันบรรเทาลงได้




ประโยชน์ของมะกรูด สมุนไพรสารพัดประโยชน์



          มะกรูดเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารคาวหวานต่าง ๆ และยังนำมาใช้ในพระราชพิธีสำคัญอย่างเช่น พระราชพิธีโสกันต์ ซึ่งระบุไว้ว่าจะต้องมีผลมะกรูดและใบส้มป่อยในการประกอบพิธี น้ำของมะกรูดก็สามารถนำมาใช้แทน หรือนำมาผสมกับน้ำมะนาวเพื่อใช้ปรุงอาหารได้อีกด้วย โดยน้ำมะกรูดนั้นจะมีรสเปรี้ยวกลมกล่อมและมีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยเพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ 

           มะกรูดไล่ยุง ไล่แมลง

          ในมะกรูดมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก มีกลิ่นฉุน จึงสามารถนำไปใช้ไล่แมลงบางชนิดได้ เช่น มอดและมดที่อยู่ในข้าวสาร ด้วยการใช้ใบมะกรูดสด ๆ ฉีกใบเป็น 2 ส่วน ให้กลิ่นออก แล้วใส่ไว้ในถังข้าวสารก็จะทำให้มอดและมดไม่ขึ้นข้าวสาร แล้วถ้าหากถูกปลิงกัดละก็ ให้นำมะกรูดมาถูตรงบริเวณที่มีปลิงเกาะจะทำให้ปลิงหลุดออกมาเอง นอกจากนี้มะกรูดสามารถใช้ในการไล่ยุงและกำจัดลูกน้ำโดยนำเปลือกมาตากแห้งแล้วนำไปเผาไฟก็จะสามารถไล่ยุงได้  

          ในปัจจุบัน มีการนำมะกรูดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงและแมลงต่าง ๆ ซึ่งในการเกษตรก็ได้มีการนำน้ำมันหอมระเหยมะกรูดมาผลิตในรูปของแคปซูลเพื่อใช้ไล่แมลงและหนอนสำหรับเกษตรกร โดยนำไปโปรยยังบริเวณที่ต้องการไล่แมลง แล้วน้ำมันจะค่อย ๆ ซึมออกจากแคปซูล วิธีการนี้ทำให้เกษตรกรใช้สารเคมีลดลงเป็นผลให้พืชผลทางการเกษตรปลอดสารเคมีมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

4. ตะไคร้
                    Image result for ตะไคร้

ตะไคร้   

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus Stapf.


วงศ์ GRAMINEAE


ชื่ออื่นๆ


ภาคเหนือ : จะไค (Cha-khai) จะไค้ (Cha-khai)
ภาคใต้ : ไคร (Khrai)


ชวา : ซีเร (Sere)


ถิ่นกำเนิด อินโดนีเซีย ศรีลังกา พม่า อินเดีย อเมริกาใต้ ไทย


รูปลักษณะ : ไม้ล้มลุกทีมีอายุได้หลายปี ชอบดินร่วนซุย ปลูกได้ ตลอดปี ใบสีเขียวยาวแหลม ดอกฟูสีขาว หัวโตขึ้น จากดินเป็นกอๆ กลิ่นหอมฉุนค่อนข้างร้อน


การปลูก : ไถพรวนดินและตากดินไว้ประมาณ 7 - 10 วัน ย่อยดินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากับดินขุดหลุมปลุกระยะ 30 x 30 เซนติเมตร ก่อนนำตะไคร้ไปปลูก นำพันธุ์ที่เตรียมไว้ตัดใบออก ให้เหลือต้นยาว ประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร มาแช่น้ำประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อให้รากงอก รากที่แก่เต็มที่จะมีสีเหลืองเข้ม นำไปปลุกในแปลงวางต้นพันธุ์ ให้เอียง 45 องศา ไปด้านใดด้านหนึ่งแล้วกลบดิน จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม หลังปลูกได้ประมาณ 30วัน ก็ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 หรือ 46 - 0 - 0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่


สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา


น้ำมันจากใบและต้น – แต่งกลิ่นอาหาร เครื่องดื่ม สบู่
ลำต้นแก่หรือเหง้า – แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ขับประจำเดือน



42.ใบเตย เตย เตย  หรือ  เตยหอม   ชื่อสามัญ Pandan leaves, Fragrant pandan, Pandom wangi เตย ชื่อวิทยาศาสตร์  Pandanus amarylli...